ลง text link แสดงทุกหน้า ติดต่อ ait.arsenal@gmail.com

หลังเกมร้อนระอุที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค -BoyDacZ-

By
Updated: พฤศจิกายน 5, 2023

ชัยชนะของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เหนืออาร์เซนอล ในเกมพรีเมียร์ ลีก เกมที่ 11 จบลงด้วยผลการแข่งขัน ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ของพาดหัวข่าว แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องของการตัดสินของกรรมการ และความไม่เข้าใจ + กังขากับการตัดสินของทีมงานผู้ตัดสินในห้อง VAR ที่ในส่วนของบทความนี้จะขอไม่กล่าวถึงในส่วนนี้ แต่จะพูดถึงเรื่องของภาพรวมในเกมนี้ กับความพ่ายแพ้เกมแรกในพรีเมียร์ ลีก ของอาร์เซนอล

45 นาทีแรกที่เรียกว่า “สงคราม” ที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค

นับตั้งแต่การเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรของกลุ่มทุนจากซาอุดิอาระเบีย นิวคาสเซิ่ล กลับมาติดปีกกลายเป็นสาลิกาดงร่างทอง ที่รุ่มรวยไปด้วยเงินทอง และกำลังใจเต็มเปี่ยม พวกเขาอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” ต่อเนื่อง ทั้งการได้ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี รวมถึงฟอร์มการเล่นของนักเตะ ที่มีนักเตะหน้าใหม่คุณภาพสูงเข้ามาสู่ทีมต่อเนื่อง เกมในบ้านของพวกเขาจากเดิมที่ก็ถูกยกย่องให้เป็นสนามเหย้าที่บรรยากาศดีที่สุดสนามหนึ่งอยู่แล้ว กลายเป็น “นรกทีมเยือน” ขึ้นไปอีกขั้น นักเตะของนิวคาสเซิ่ล เหมือนมีพลังแฝงเพิ่มขึ้นเมื่อเล่นในรังตัวเอง

พวกเขาชนะในคาราบาว คัพ เหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมาแบบหมดจด 3-0 กำลังใจพุ่งพล่าน แฟนบอลก็อยากมาดู อยากมาเชียร์ทีม บรรยากาศเกมนี้มันถูกบิ๊วมาตั้งแต่แรกแล้ว พอลงสนามไป นักเตะนิวคาสเซิ่ล ก็เอาเลย

เกมนี้ในช่วง 45 นาทีแรก ผู้เขียนยกให้เป็น “สงคราม” ของการแย่งชิงจังหวะการเล่นของตัวเอง อาร์เซนอล เป็นทีมที่ชอบเซตบอลจากเกมรับที่นายทวาร นิวคาสเซิ่ล ก็ทราบดี พวกเขาส่งแนวรุกวัยรุ่นความเร็วดี ไม่ก็ประสบการณ์สูง ลงไล่บดกันตั้งแต่แดนบน อาร์เซนอล ตั้งกระบวนไม่ได้เลยตลอด 10-15 นาทีแรก พวกเขาปรับจังหวะเกมไม่ทัน หาแนวทางการเล่นแบบที่อยากได้ไม่เจอ ถึงเจอก็ได้มาแบบจวนเจียน

เราจะได้เห็นการออกบอลแบบคุณภาพแย่ ๆ ออกบอลแบบเอาตัวรอดไปแบบครั้งต่อครั้ง ส่วนหนึ่งเพราะ อาร์เซนอล แผนอยากจะครองเกม อยากให้นักเตะคู่แข่งมาไล่บอลมาตนเพื่อเปิดพื้นที่ นิวคาสเซิ่ลก็จัดให้ พวกเขาไล่บอลอย่างบ้าคลั่ง ดาบิด ราย่า – วิลเลี่ยม ซาลิบา – กาเบรียล มากัญเยส หรือกระทั่ง จอร์จินโญ่ ที่วันนี้รับงานเป็นตัวเชื่อมเกม เจอกับงานยากทุกรอบ ได้บอลแล้วต้องรีบปล่อยออก ได้แล้วต้องส่ง มองเพื่อนไม่ถึง 1 วินาที ก็ต้องออกบอลแล้ว เมื่อเป็นแบบนั้น ต่อให้อาร์เซนอล หลุดเพรสซิ่ง มาได้พวกเขาก็ทุลักทุเลไม่น้อย

ขณะเดียวกัน นิวคาสเซิ่ล เองก็ไม่ได้ว่าดีไปกว่ากัน พวกเขาเพรสไล่กันหนักก็จริง แต่ถ้าพวกเขาพลาด พวกเขาก็โดนอาร์เซนอลทะลุตรงกลางบ้าง ซ้าย-ขวาบ้าง วิ่งไล่ลงมาช่วยเกมรับกันอุตลุต แต่สิ่งที่มันเข้ามาเบรกอาร์เซนอล และมันเข้าทางพวกเขามากคือการเข้าบอลหนัก

อย่างที่บอกแต่ต้น เกมนี้ “บรรยากาศมันพาไป” ตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งเกมนี้มีการเข้าปะทะกันตั้งแต่ต้นเกม เสียงเชียร์ก็ยิ่งปลุกเร้า การเข้าหาบอลแล้วตอดเล็กตอดน้อย มีให้เห็นตลอด อาร์เซนอล เจอแบบนี้เข้าไป พวกเขาก็ตั้งเกมไม่ง่าย และมันไม่ต่อเนื่องกับการเล่นของพวกเขาที่ถ้าไม่เซตเกมรุกหลังบ้านขึ้นมา ก็ต้องการจังหวะสวนกลับรวดเร็ว แต่ทั้งหมดมันไม่เกิดขึ้น

• เซตเกมยากด้วยการเจอเพรสซิ่งมหาโหด
• สวนกลับไม่ได้ ด้วยว่าไม่ออกบอลพลาดเอง ก็โดนตัดเกม ตัดฟาลว์

สิ่งที่ทำให้นักเตะอาร์เซนอลหงุดหงิดใจ และเป็นเรื่องปกติของทุกคนคือ เมื่อเล่นไม่ได้ดังใจ เมื่อมีจังหวะโดนตัดฟาลว์แล้วบางทีไม่ได้ฟาลว์ สุดท้าย “อารมณ์” มันก็มีกันทั้งนั้น ทีนี้กลายเป็นว่า “แรงมาก็แรงกลับ” ทั้งสองทีมเริ่มมีจังหวะ “พูดยั่ว” กันไปมา ไม่ก็เริ่มมีกระทบกระทั่งกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

ก่อนจะเกิดจังหวะที่ ไค ฮาแวตซ์ พุ่งเสียบใส่ ฌอน ลองสตาฟฟ์ แล้ว ตลอดเกมยังไม่มีใครได้รับใบเหลืองสักใบเดียว แต่พอจังหวะนั้นเกิดขึ้นออกมาพร้อมกันทีเดียว 4 ใบรวด และบรรยากาศที่อัดอั้น ทีนี้ก็ระเบิดออกมาทันที ชอตที่ บรูโน่ กิมาไรส์ เอาแขนไปพาดใส่หัว จอร์จินโญ่ เป็นหนึ่งในชอตที่ยืนยันได้ว่าบรรยากาศมันไม่เป็นมิตรอะไรกันทั้งนั้นอีกต่อไป แถมการกระทำนั้น VAR ก็ไม่ได้มองเห็นว่าเป็นการกระทำที่เล่นนอกเกมอะไรอีกต่างหาก

เกมใน 45 นาทีแรกจึงออกมาแบบตึง ๆ ทั้งสองทีม หาโมเมนตัมของตัวเองไม่เจอ อยากได้ในสิ่งที่อยากได้ก็ไม่ได้ จังหวะเข้าทำก็น้อย ตายกันตรงพื้นที่เข้าทำกันทั้งสองฝั่ง

ครึ่งหลัง นิวคาสเซิ่ล ลงมาแล้วพวกเขาเล่นช้าลงไปบ้าง พยายามออกบอลให้แน่นอนมากขึ้น และซื้อสมาธิในเกมรับให้แน่นอน พวกเขาทำได้ดีในจังหวะสวนกลับหลายครั้ง คัลลั่ม วิลสัน เก็บบอลได้มากขึ้น โดยที่ตัวที่สอดขึ้นมาช่วยทั้ง อัลมิร่อน, โจลินตัน และ กอร์ดอน ก็ซัพพอร์ตการเล่นได้ดี พวกเขาเริ่มสร้างโอกาสได้ลุ้นมากขึ้น ตรงกันข้ามกับ อาร์เซนอล ที่ยังคงงมหาจังหวะจบสกอร์ไม่เจอ การเล่นไปจบที่บอลสุดท้ายไม่ได้ยิง จนสุดท้ายมาได้ประตูจากจังหวะ

เริ่มที่การสาดยาวจากแนวรับ ที่พวกเขาเล่นมาแล้ว 2-3 รอบก่อนหน้านี้ให้ตัวรุกด้านบน วิ่งแข่งกับแนวรับอาร์เซนอล รอบนี้เอาชนะได้ และต้องบอกว่าแนวรับอาร์เซนอลเคลียร์กันไม่ขาด บอลทะลักไปถึง เมอร์ฟีย์ ยิงหลุดกรอบออกไป…บอล “น่าจะ” ออกไปแล้ว นักเตะอาร์เซนอล หลายคนหยุดเล่น แต่ไม่ใช่สำหรับ โจ วิลล็อค ที่วิ่งไล่บอลไปเอากลับมา และเปิดเข้ากลาง ดาบิด ราย่า ออกมาพยายามปัดไม่เจอบอล และกลายเป็นจังหวะปัญหาอย่างที่ทราบกัน

จังหวะนี้ตัดเรื่องของ “VAR” และการตัดสินของกรรมการออกไป ลูกนี้อาร์เซนอลพลาดเต็ม ๆ อยู่สองเรื่อง

1. เรื่องของการที่ไม่ไล่ตามบอลไปในจังหวะที่ วิลล็อค วิ่งไปเอาบอลกลับมา (ออกไม่ออกไม่รู้) แต่ วิลล็อค ได้มีเวลาเลือกเปิดบอลอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่มีนักเตะอาร์เซนอลสักคนเข้าไปกดดัน แต่เลือกที่จะยืนคุมพื้นที่แทน ซึ่งตามตำแหน่ง เบน ไวท์ คือคนที่ต้องดูแลพื้นที่ตรงนี้

2. การออกมาไม่ถึงบอลของ ดาบิด ราย่า ซึ่งเพลย์นี้เขาพลาดเต็ม ๆ เพราะมันเป็นพื้นที่ระยะหกหลา “พื้นที่ทำการ” ของเขาโดยตรง การที่ปัดบอลไม่ถึงแบบที่ไม่มีการเข้าปะทะของคู่แข่งใด ๆ คือความผิดพลาดของนายทวาร 100 %

สองเรื่องนี้คือความผิดพลาดของแนวรับอาร์เซนอลที่ไม่ต้องเช็ค VAR ใด ๆ พลาดกันเอง และโดนลงโทษแบบซ้ำสอง เมื่อจังหวะหลังความผิดพลาด กรรมการยังตัดสินไม่เป็นใจพวกเขาด้วยการให้เป็นประตู

หลังการเสียประตู

สถานการณ์ของเกมนี้เปลี่ยนแปลงชัดเจนอย่างยิ่ง บรรยากาศในสนามกลายเป็นเจ้าบ้าน 100 % แล้ว ขณะที่ในสนาม วิธีการเล่นของนิวคาสเซิ่ลก็เปลี่ยนไป สัดส่วนการบุกของนิวคาสเซิ่ล ลดลงพวกเขาเลือกที่จะมองถึงสมาธิในเกมรับ และการรอเล่นสวนกลับ ขณะที่ อาร์เซนอล “ต้องบุกเท่านั้น” และจุดปัญหาใหญ่ของอาร์เซนอลมันก็ยิ่งชัดเจน

อาร์เซนอลเกมนี้ จากต้นเกมที่เจอไล่ตัดไล่หวด รวมถึงการถูกไล่ล่าเพรสซิ่ง กลายมาเป็นเจอกับ “ของแสลง” ที่ไม่อยากเจอก็ได้เจอ นั่นคือการเจอการเล่นเกมรับ “ลึก” ของนิวคาสเซิ่ล พวกเขาปล่อยให้อาร์เซนอลครองบอลในแดนตัวเอง จะทำอะไรก็เชิญ แต่ข้ามเส้นแบ่งแดนมาเมื่อไร พวกเขาเคลื่อนที่ทันที ภาพที่ออกมาเราจึงได้เห็นภาพแบบที่ นิวคาสเซิ่ล มีนักเตะ 7-8 คนหน้าเขตโทษตัวเอง และอาร์เซนอล ได้บอลพยายามหาโอกาสเข้าทำประตู

วาเลนติโน่ ลิฟราเมนโต้ และ คีแรน ทริปเปียร์ คือ คีย์หลักสำหรับเกมนี้ในช่วงเวลาที่เหลือของเกม ที่ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้พวกเขาก็เล่นได้ดีอยู่แล้ว แต่พอได้ประตูแล้ว หน้าที่ของพวกเขาคือ คนอื่นอัดแน่นตรงกลาง พวกเขารับงานหลักคือหยุดปีก อาร์เซนอล ที่เป็นตัวจุดเริ่มต้นการเจาะประตู นั่นคือ “หยุด ซาก้า หยุด มาร์ติเนลลี ได้ อาร์เซนอลก็ยิงไม่ได้”

ซาก้า เป็นนักเตะตัวแบกของอาร์เซนอลมากกว่าใคร วันนี้เจอกับ แดน เบิร์น ที่ใหญ่กว่าเยอะในครึ่งแรก และมาเจอกับ ทริปเปียร์ ที่ประสบการณ์เพียบ และลงซ้อมในทีมขาติด้วยกันมาบ้าง ตามไล่ล่าในครึ่งหลัง “บี” ถึงกับไปไม่เป็น เพราะเจอการประกบติดที่พร้อมจะตอด จะแซะ และหากจำเป็นก็ตัดเกมทันที ไม่ให้ได้สร้างโอกาส มี โจลินตอน และ เหล่ากองกลางมาลุยช่วยกันยำ ซาก้า ที่วันนี้ค่อนข้างโดดเดี่ยว เพราะ เบน ไวท์ ก็เติมเกมมาช่วยไม่ค่อยถนัดนัก ไหนจะไม่มี มาร์ติน เออเดการ์ด คู่ซี้ที่ชอบเล่นชิ่งกันอย่างรู้ใจบาดเจ็บหายไปอีกคน ซาก้า หายไปกับเกมเลย ขณะที่ฝั่งตรงข้าม มาร์ติเนลลี่ เจอกับ ลิฟราเมนโต้ ที่ต้องบอกว่า “ตัน” เหมือนกัน อดีตฟูลแบ็คเด็กปั้นเชลซี ไม่ได้มีความเร็วน้อยกว่ามาร์ติเนลลี่ และก็สมาธิมากพอจะบีบให้ มาร์ติเนลลี่ เจอกับพื้นที่แคบบ่อยครั้ง อาจจะได้บอลเยอะแต่ก็ทำได้แค่ครองบอล พอจะตัดเข้าใน ก็เจอกองกลางมาบีบมาปิดมุม “ตายเหมือนกัน” การเปลี่ยน ทรอตซาร์ ลงมาช่วยก็สร้างความหวือหวาได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่มันต่างจากเกมที่เจอกับเชลซีคือ “โมเมนตัม” ของเกมทั้งหมด นิวคาสเซิ่ล ถือครองได้เกือบทั้งหมดแล้ว

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ พื้นที่ตรงกลางในแนวรุก หรือหน้าเป้า อาร์เซนอล ไม่มีกาเบรียล เฆซุส “จำเป็น” ต้องใช้งาน เอ็ดดี้ เอนเคเธีย ที่เป็นเกมที่คนละเรื่องกับสัปดาห์ก่อนที่เขาโชว์ฟอร์มเทพ แต่มาวันนี้เขากลายกลับมาเป็นคนที่ผิดที่ผิดทาง เก็บบอลไม่ได้ และสุดท้ายก็โดนเปลี่ยนออก สวนทางกับ ไค ฮาแวตซ์ ที่เกมนี้ยังพอเก็บบอลได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรได้มากกว่าเชื่อมเกมไปมา พลิกไม่ได้ สร้างโอกาสอันตรายไม่ได้

ดังนั้นเมื่อ ปีกโดนปิด กลางไม่มีตัวพลิกเข้าหาประตู เกมรุกอาร์เซนอลเล่นให้ตายยังไงก็เจาะไม่ได้ เพราะวันนี้ “Personal Error” ในแนวรับของนิวคาสเซิ่ล มันไม่เกิดขึ้นเลย จนกระทั่งจบเกม
การตัดสินของกรรมการ
ขอแยกออกเป็นสองส่วนด้วยกัน คือการตัดสินในภาพรวม กับการตัดสินในจังหวะที่มีการได้ประตู
ในภาพรวมวันนี้ด้วยบรรยากาศของสนามที่สร้างความฮึกเหิม บวกกับวิธการเล่นต่าง ๆ นิวคาสเซิ่ล เล่นได้ตามงานที่ถูกสั่งมา บนสิ่งที่ต้องยอมรับว่า กรรมการ ตัดสินเกมแบบปล่อยเกมไปพอสมควร อาร์เซนอลเองก็ตกหลุมพรางในการเล่นเกมหนัก ๆ ไปด้วย การเข้าบอลของ ไค ฮาแวตซ์ ในช่วงปลายครึ่งแรก กลายเป็นภาพในสมอง และความรู้สึกของแฟนบอลทั่วไปว่า เกมนี้มันเดือดทั้งสองทีม ไม่ใช่แค่นิวคาสเซิ่ล ฝ่ายเดียว บรรยากาศของเกมที่มันมีการกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา ไม่น่าเชื่อว่าจะจบด้วยการมีใบเหลือง หลังจากเหตุการณ์ของฮาแวตซ์ อีกเพียง 2 ใบ และมันเกิดขึ้นในช่วงนาทีที่ 89 และช่วงทดเจ็บแล้ว โดยเฉพาะ บรูโน่ กิมาไรส์ ที่วันนี้ห้าวเหลือเกินกับการออกไม้ออกมือในจังหวะปะทะหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายโดนใบเหลืองในช่วงท้ายเกม

ในอีกมุมหนึ่งหลังการได้ประตูขึ้นนำแล้ว นิวคาสเซิ่ล เองก็เล่นด้วยความระแวดระวังการเสียฟาลว์แบบไม่จำเป็น พวกเขาแทบไม่เอาลูกหนักเข้ามาใช้งานอีกเลย นี่คือ “ความเขี้ยว” และ “ความละเอียด” ในการเล่นของสาลิกาดง ที่ต้องยอมรับว่าพวกเขาทำได้ดีเช่นกัน เพื่อเป้าหมายสู่ชัยชนะที่สุดท้ายพวกเขาก็ได้มาจริง ๆ อย่างที่ต้องการ
ขณะที่ในส่วนของการตัดสินจังหวะการได้ประตู

มิเคล อาร์เตต้า ออกมาจวกกรรมการแบบตรงไปตรงมา นั่นคือคำตอบของฝั่งที่เสียประโยชน์จากการตัดสินที่มีอย่างน้อย 4 ชอตที่เป็นจังหวะกังขา

อ้างอิงจาก Sky Sports ตามบทความจาก The Sporting news Thailand ระบุว่า

“หลังการแข่งขันภาพมุมใหม่ในจังหวะตามไปเก็บบอลของ วิลล็อค เผยให้เห็นว่าลูกบอลหลุดพ้นเส้นหลังสนามไปแล้วซึ่งห้อง VAR ได้สรุปเหตุการณ์ดังกล่าวในบันทึกการแข่งขันว่าไม่มีหลักฐานที่สามารถสรุปได้”

ในขณะที่จังหวะต่อมาที่มีการปะทะกันระหว่าง โจลินตัน และ กาเบรียล รวมถึงการเช็คล้ำหน้าของแอนโทนี่ กอร์ดอน ถูกระบุว่า

“Sky Sports รายงานจากบันทึกผู้ตัดสินห้อง VAR ซึ่งระบุว่าประตูของ แอนโทนี กอร์ดอน ได้รับอนุญาตให้เป็นประตูเนื่องจาก VAR ไม่มีมุมกล้องที่มองเห็นการปะทะกันระหว่าง โชลินตอน กับ กาเบรียล อย่างชัดเจน ซึ่งพวกเขาไม่สามารถระบุได้ว่า โชลินตอน สัมผัสบอลครั้งสุดท้ายเมื่อใด และด้วยเหตุนี้จึงลามไปถึงประเด็นที่ว่า กอร์ดอน ล้ำหน้าจริงหรือไม่”

นี่ยังไม่รวมอีกจังหวะที่ว่า โจลินตัน แขนโดนบอลหรือไม่ในจังหวะที่มีการยื่นมือออกไปผลักกาเบรียลในจังหวะแย่งบอลกันอีกจังหวะที่ไม่มีการเช็คในจังหวะนี้

นั่นหมายความว่า การตัดสินของ VAR ในการตรวจเช็คทั้งสามเหตุผลมันไม่มีข้อไหนที่สามารถระบุได้ชัดเจนว่ามีการผิดกฎหรือไม่ผิด ดังนั้นการตัดสินนี้ VAR ไม่ได้ตัดสินอะไรได้เลยสักอย่าง และทำไมกรรมการผู้ตัดสิน สจ๊วต แอตเวลล์ จึงตัดสินใจให้เป็นประตูโดยที่เขาไม่มีการเดินไปดูภาพช้าที่ข้างสนามเลยแม้แต่ครั้งเดียวในจังหวะดังกล่าว

หลังเกมนี้ทั้งสื่อในประเทศไทย และต่างชาติต่างก็ยกมุมเหตุผล และความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง บ้างก็ว่าเป็นการตัดสินที่ถูกต้องแล้ว บ้างก็ว่าไม่ชัดเจนแต่ก็ยกประโยชน์ให้จำเลย แต่สุดท้ายแล้วคำถามที่ยังไม่ได้รับการตอบคือ มันสามารถยอมรับได้จริงหรือกับการตัดสินเช่นนี้

ในเมื่อทั้งสองทีมลงสนามไปเพื่อเป้าหมายคือการเป็นผู้ชนะในเกการแข่งขัน ต่างต้องการชัยชนะที่เด็ดขาด แต่กลายเป็นว่าการตัดสินของคนคุมกฎกลับไม่มีความชัดเจน และต้องถูกตั้งคำถามในทุกสัปดาห์ว่าแท้จริงแล้วการตัดสินแต่ละครั้งก็ยังคงเหมือนเดิมคือ วิจารณญาณ หรือพูดบ้าน ๆ คือ แล้วแต่กรรมการ แต่ละคนจะตัดสินอย่างไร โดยมีแม้จะมี VAR มันก็ไม่ได้ช่วยได้ทุกอย่างในการตัดสิน และทำไมกรรมการในสนามถึงยังคงเชื่อในความไม่ชัดเจนนั้นอยู่ดี และเลือกตัดสินไปแบบไม่ไปดูด้วยตนเองก่อนตัดสินอีกครั้ง เพราะนี่คือการตัดสินที่ VAR ตั้งแง่สงสัยถึง 3 ส่วนด้วยกันในจังหวะเดียวกันนี้

ไม่ว่าจะด้วยกฎอะไรก็ตามแต่ที่ออกมาเกี่ยวกับเรื่องของการ “แทรกแซง” หรือ “ไม่แทรกแซง” การทำงานระหว่าง VAR และกรรมการในสนาม แต่สิ่งที่มันควรจะเป็นไปมากที่สุดคือ “Common Sense” ของการตัดสินในจังหวะที่จะถูกตั้งคำถามแน่นอน หากมันไม่มีความชัดเจนมากพอ กรรมการควรจะชี้ขาดด้วยการกระทำที่ชัดเจนมากกว่านี้ มากกว่าที่จะฟังแล้วว่าตาม เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น กรรมการก็จะเป็นผู้ต้องแบกรับเสียงด่าไม่น้อยกว่ากัน

อาร์เซนอล อาจไม่เหมาะสมกับการจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ด้วยเหตุผลในเรื่องของฟอร์มการเล่นที่ออกมา ผิดพลาด แต่พวกเขาเองก็ไม่ควรเสียประตูในแบบที่มันไม่มีความชัดเจนในการตัดสินแบบนี้เช่นเดียวกันกับที่ นิวคาสเซิ่ล เองก็คงไม่พอใจเช่นกัน ถ้าพวกเขาจะไม่ได้ประตูนี้ หากมันไม่มีความชัดเจนว่าทำไม มันถึงไม่ได้ประตู นี่คือสิ่งที่แฟนบอลทั่วโลกต่างเรียกร้องถึงมาตรฐานการทำงานของกรรมการต่างหาก

การตัดสินเช่นนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอนที่จะเกิดปัญหาแบบนี้ ตราบใดที่ VAR ยังคงไม่มีความชัดเจนในมาตรฐานการตัดสินเพื่อให้การตัดสินออกมา ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับกันได้ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชนะ หรือ ผู้แพ้ในเกมก็ตาม

You must be logged in to post a comment Login

Leave a Reply